ขอบคุณ 90,000 Likes

ขอบคุณแฟนนานุแฟนทุกท่าน ที่สนับสนุนเพจวิศวกรรีพอร์ต จนวันนี้มียอดเพจไลก์ทะลุ 90,000 แล้ว!

180323_90000Likes

ช่างบังเอิญเหลือเกินที่วันนี้เป็นวันครบรอบ 1 ปี ของการ “ลาออกครั้งสุดท้าย” ของผมด้วย

พอมีเวลาสัก 2 นาทีไหม?

ขอผมเล่าอะไรให้ฟังหน่อยนะครับ …

ตอนผมเริ่มทำเพจใหม่ๆเมื่อ 3 ปีก่อน ผมเคย “ฝัน” ว่าเพจที่กำลังทำอยู่นี้จะมียอดไลก์ 100,000

หรือที่เค้าเรียกกันว่า “เพจเรือนแสน”

ตอน “ฝัน” ม้นสนุกมาก แค่นึกภาพในหัวเห็นตัวเลข 100,000 บนหน้าเพจของตัวเอง

มัน “ฟิน” กว่ากินบิงซูเสียอีก …

ช่วงนั้นผมอ่านหนังสือพัฒนาตัวเองหลายเล่ม ทุกเล่มพูดตรงกันว่าต้องเริ่มจากการตั้งเป้าหมาย

“เพจของเราต้องมียอดไลก์ 100,000 ภายใน 2 ปี” ผมตั้งเป้าและประกาศกับตัวเองอย่างนั้น

พอประกาศกับตัวเองแล้วรู้สึก “เหิมเกริม” มาก คิดว่าทำได้แน่นอน

ทั้งที่ตอนนั้นเพิ่งมียอดเพจไลก์แค่ 120

และแน่นอนว่าเพื่อนช่วยกดทั้งนั้น…

“เราทำได้ เราทำได้” ผมประกาศก้องในหัว

 

ถ้าเป็นในหนัง พอตั้งเป้าแล้วมันก็มีหนทาง เดี๋ยวเจอคนนั้นคนนี้มาช่วย ยอดเพจไลก์หมุนๆๆ จากร้อยเป็นพัน จากพันเหมือนหมื่น จากหมื่นเป็นแสนใช่ไหมครับ?

น่าเสียดายว่านี่คือชีวิตจริง ไม่ใช่ในหนัง

ผ่านมา 1 เดือน ตัวเลขเพจไลก์เพิ่มจาก 120 เป็น 180 แม้ว่าผมจะขยันโพสต์บทความก็ตาม

แต่ละบทความใช้เวลาเขียนไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมง

ถ้ารวมเวลาค้นข้อมูลเพิ่มเติมหรือหารูปประกอบด้วย น่าจะเกิน 5 ชั่วโมงด้วยซ้ำ

จาก “เหิมเกริม” แทบจะ “มอดไหม้”

“ผ่านมา 1 เดือนเพิ่มเป็น 180 อีกกี่ชาติจะถึง 100,000 เนี่ย!” ความฝันของผมเริ่มสั่นคลอน

“เลิกดีไหม เสียเวลามาเป็นเดือนแล้ว” บ่าซ้ายเริ่มยุยง

“ไม่ ถ้านี่เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ล้มเหลว ชีวิตต่อจากนี้จะล้มเหลวทุกเรื่อง” บ่าขวายืนกราน

โชคดีที่ผมเชื่อบ่าขวา

 

จากการวิเคราะห์ของผม ที่ยอดไลก์ไม่ขึ้น น่าจะมีผลมาจากตัวเลขเพจไลก์ตอนนั้นที่มันจุ๋มจิ๋มเหลือเกิน

ต้องยอมรับว่า ยอดเพจไลก์มีผลต่อความน่าเชื่อถือของเพจ

สำหรับคนทั่วไป ถ้าเจอโพสต์ไหนเขียนดี แต่เห็นยอดเพจไลก์มีแค่หลักร้อย ก็อาจคิดว่าเพจนี้ไม่ดี

ในทางตรงข้าม ถ้าเจอโพสต์ไหนเขียนดี และเห็นว่าเพจนั้นคนไลก์เป็นแสน ก็ไม่ลังเลที่จะกดไลก์

ยิ่งเพจของผมเป็นแนววิชาการ ความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญ

ผมมั่นใจว่าบทความของผมดี แต่ปัญหาคือคนไม่เห็น

“งั้นเราต้องโฆษณา” ผมบอกกับตัวเอง และเริ่ม Promote Page กับ Boost Post ตั้งแต่นั้น

 

โฆษณาแล้วเริ่มได้ผล ตัวเลขเริ่มก้าวกระโดด

จาก 180 เป็น 1,000

จาก 1,000 เป็น 5,000

จาก 5,000 เป็น 10,000

จาก 10,000 เป็น 18,000

ตัวเลขเพจไลก์โต แต่ค่าโฆษณากลับโตยิ่งกว่า!

ผมเสียค่าโฆษณาไปเกือบ 20,000 บาท

ยังไม่รวมค่าเรียนคอร์ส Social Media (ซึ่งราคาก็ไม่ต่างจากนั้นเลย)

ช่วงนั้นผมพยายามพัฒนาคุณภาพของบทความด้วย

เขียนแล้วอ่านทวนไม่ต่ำกว่า 3 รอบ ตรงนั้นสะกดผิด ตรงนี้เยิ่นเย้อ ตรงนี้รวบรัด ตรงนี้ควรหยิบมาอยู่ข้างหน้า

จากที่เคยเขียน 3 ชั่วโมงก็กลายเป็น 5 ชั่วโมง !

“เราใช้เวลาเขียนบทความ 5 ชั่วโมงให้คนอ่านฟรีๆ แถมต้องจ่ายเงินให้เค้าเข้ามาอ่านอีกหรือ”

“เลิกดีไหม” บ่าซ้ายเริ่มยุยง

และครั้งนี้ผมคิดว่าบ่าซ้ายพูดถูก…

 

ผมหยุดเขียนบทความไปช่วงหนึ่ง จนภรรยาทักว่า

“ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นโพสต์บทความเลย เลิกแล้วเหรอ?”

ผมเล่าปัญหาให้เธอฟัง เธอฟังเงียบๆและบอกว่า

“ช่วงนั่งเขียนบทความก็เห็นสนุกดีนี่ นั่งเขียนคนเดียวได้ตั้งนาน”

คำว่า “สนุก” กระแทกหน้าผากผมอย่างจัง

ใช่ครับ ช่วงหลังๆผมเขียนบทความแล้ว “ไม่สนุก”

ไม่สนุกเพราะใช้เวลานาน เขียนไปก็ไม่ได้ตังค์ แถมต้องเสียตังค์ค่าโฆษณาอีกต่างหาก

ผมถามตัวเองว่า ยังสนุกกับการเขียนบทความ ยังสนุกกับการแบ่งปันความรู้ให้คนอื่นไหม?

คำตอบคือใช่

ผมถามตัวเองว่า ถ้าเขียนบทความและไม่ได้ตังค์ แต่ได้รับคำขอบคุณจากคนอื่น จะเขียนไหม?

คำตอบคือใช่

งั้นที่เลิกเขียน เพราะไม่อยากเสียเงินค่าโฆษณาใช่ไหม?

คำตอบก็คือใช่เช่นกัน

ผมจึงเลิกจ่ายค่าโฆษณาให้เฟซบุ๊กตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา (น่าจะประมาณเดือนสิงหาคม 2015 หรือหลังจากทำเพจได้ 8 เดือน)

“ถ้าบทความดี คนอ่านแล้วเค้าชอบ เค้าจะช่วยแชร์ต่อเอง” ผมบอกตัวเองอย่างนั้น

“การแชร์คือการโฆษณาที่ดีที่สุด และไม่ต้องเสียเงินด้วย” ผมตอกย้ำความคิดตัวเอง

 

ผมจึงพัฒนาการเขียนให้ดียิ่งขึ้น วางโครงเขียนให้ชัดเจน ทุกบทความต้องมีทั้งเทคนิคและข้อคิด

นั่นคือบอกเทคนิคว่าต้องทำยังไง และต้องแทรกข้อคิดเข้าไปด้วย

ต้องเกริ่นเรื่องให้น่าสนใจ อ่านแล้วต้องไหลลื่นคล้ายมีคนมาเล่าให้ฟัง ต้องมีมุกตลกระหว่างทาง ต้องจบแบบประทับใจ

และที่สำคัญคือต้องเป็นประโยชน์กับคนอ่าน

นี่คือหลักการทั่วไปของการเขียนบทความ ฟังเหมือนง่าย แต่เอาเข้าจริงโคตรยาก

ผมจึงใช้เวลาเขียนในแต่ละบทความไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมง (บ้าไหมครับ?)

แถมจะเขียนบทความไหน ต้องเช็คข้อมูลทุกครั้ง มีอะไรที่เข้าใจผิดหรือเปล่า มีอะไรที่ยังไม่รู้หรือเปล่า มีอะไรที่มองข้ามไปหรือเปล่า

และแน่นอนว่าทำไปทั้งหมดก็ไม่ได้ตังค์ ถ้าจะได้คือคำขอบคุณ ซึ่งก็ทำให้ชุ่มชื่นหัวใจและมีแรงไปต่อ…

 

ด้วยการที่ไม่จ่ายค่าโฆษณา ยอดเพจไลก์จึงโตช้า แต่ก็โตอย่างต่อเนื่อง จบปีแรกด้วยยอดไลก์ประมาณ 20,000

“ผ่านไป 1 ปี ยอดไลก์ 20,000 ปีหน้าต้องทำอีก 80,000 ถึงจะได้ 100,000”

แค่คิดก็ท้อแล้ว

 “100,000 มันแค่ตัวเลขเพ้อเจ้อที่ลอยขึ้นมา” ผมปลอบใจตัวเองอย่างนั้น และพาลว่าตัวเลข 100,000 ไม่มีทางเป็นไปได้…

 

เหมือนโชคชะตาจะเริ่มเห็นใจ “ชีวิตเพจ”ของผมเริ่มดีขึ้น

หลายโพสต์ “ปัง” มาก มีคนแชร์อย่างถล่มทลาย

ยอดเพจไลก์เพิ่มพูนแบบทวีคูณ

จาก 20,000 ในปีแรก กลายเป็น 60,000 ในปีที่สอง

และกลายเป็น 80,000 ในช่วงเวลาสองปีครึ่ง

ยิ่งไปกว่านั้นทุกคอร์สที่เปิดสอนได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม แทบทุกคอร์สเต็มภายในเวลาเพียง 3 นาที

ผมตัดสินใจลาออกจากงานประจำเพื่อ “ตามฝัน” เต็มตัวเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2017

หรือก็คือวันนี้ของปีที่แล้ว

ขอบอกว่าเป็นการตัดสินใจที่ยากมาก ใช้เวลาตัดสินใจเป็นปี แต่ผมก็ตัดสินใจเลือกทางนี้ ด้วยคติประจำใจที่ว่า

“ทำแล้วเสียใจ ดีกว่าเสียใจที่ไม่ได้ทำ”

 

ฟังดูเหมือนอะไรๆก็เป็นใจใช่ไหมครับ?

แต่แล้วโชคชะตากลับเล่นตลก เฟซบุ๊กปรับอัลกอริธึ่มลดการมองเห็น (Reach) ของเพจต่างๆ

เริ่มเห็นสัญญาณตั้งแต่กลางปี 2017 สัญญาณเริ่มชัดเจนในปลายปี 2017

ผมปิดตัวเลขยอดเพจไลก์ปลายปี 2017 ที่ 86,700

ดูเผินๆเหมือนจะโอเค แต่ถ้าดูให้ดีจะพบว่าในครึ่งปีหลังนั้น ได้เพจไลก์เพิ่มขึ้น 6,700 ทั้งที่ครึ่งปีแรกได้ยอดเพจไลก์เพิ่มขึ้น 20,000

 

แล้วมันก็ชัดเจน

เฟซบุ๊กประกาศเปลี่ยนอัลกอริธึ่มครั้งใหญ่ในต้นเดือนมกราคม 2018

เพิ่มการเห็นนิวฟีดของเพื่อน แต่ลดการเห็นของเพจต่างๆลง

เรียกได้ว่า เพจโพสต์อะไรไป คนแทบไม่เห็น

ถ้าอยากให้คนเห็น ต้องจ่ายค่าโฆษณา และค่าโฆษณาก็แพงขึ้นเยอะมาก

คนทำเพจเริ่มบ่น หลายคนเริ่มท้อ หลายคนเริ่มปิดเพจ

ผมเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โพสต์ไปเหมือนโยนหินลงทะเล

แม้มียอดแชร์ แต่ยอดการมองเห็น (Post Reach) กลับไม่ขึ้น

ยอดเพจไลก์ยิ่งไม่ขึ้นใหญ่

ตัวเลข 100,000 คงเป็นได้แค่ฝัน

อย่าว่าแต่ได้เพจไลก์เพิ่มเลย แค่คงตัวเลขให้เท่าเดิมก็ยากแล้ว (บางเพจมียอดเพจไลก์ลดลงด้วยซ้ำไป)

ถามว่าท้อไหม ขอบอกว่ามาก

ถามว่าถอยไหม ขอบอกว่าถอยไม่ได้ เพราะไม่มีที่ให้ถอย

มีทางเดียวคือเดินหน้าต่อ…

 

และด้วยแรงสนับสนุนของทุกคน

วันนี้ยอดเพจไลก์ทะลุ 90,000 แล้ว เหลืออีกเพียงก้าวเดียวก็จะถึง “ฝั่งฝัน”

แม้ใช้เวลามากกว่าที่ตั้งเป้าเอาไว้ แถมยังไม่ถึงเป้า

แต่ผมก็ดีใจมากมาย ^_____^

มากมายจนอยากเขียนโพสต์เพื่อเล่าความรู้สึก อยากเล่าถึงที่มา และอยากบอกว่าผมรู้สึกขอบคุณทุกๆคนมากแค่ไหน

ผมจะมาถึงจุดนี้ไม่ได้เลยถ้าไม่มีทุกคนคอยช่วยเหลือ

ขอบคุณมี่ ภรรยาคู่ชีวิต ผู้คอยให้กำลังใจเสมอมา เข้าใจและสนับสนุนในสิ่งที่ผมทำ ถ้าไม่มีมี่ ผมคงเลิกทำเพจตั้งแต่สามเดือนแรกแล้ว

ขอบคุณภา เพื่อนที่คอยเหนี่ยวรั้งต้นแขนไม่ให้เลิกทำในวันที่ผมหมดกำลังใจ คอยกระตุ้นและให้ความช่วยเหลือในทุกๆอย่าง

ขอบคุณพี่เปา คุณแบงค์ พี่เร คุณเก่ง คุณป้อม น้องโจ้ คุณหญิง คุณกู้ คุณนุ่น คุณท็อป โรส และพี่พิชัย ที่สละเวลามาเป็นผู้ช่วยสอน ถ้าไม่มีพวกคุณ คอร์สของผมไม่มีทางประสบความสำเร็จแน่นอน

สุดท้ายนี้ ขอบคุณแฟนเพจทุกท่านอีกครั้ง ขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้ผ่านทางไลก์ เมนต์ แชร์ อินบ็อกซ์เมสเซส และอีเมล สิ่งเหล่านั้นคือเชื้อเพลิงชั้นดีให้ผมมีกำลังใจไปต่อ

ผมยังมีเรื่องราวและเทคนิคอีกมากมายที่อยาก “เล่า” ให้ฟัง ยังมีผลงานใหม่ๆให้ติดตามและเชื่อว่าเป็นประโยชน์กับทุกคนแน่นอน

ขอบคุณทุกๆคนอีกครั้งครับ ^/\^

.

ป.ล. สำหรับแฟนเพจท่านใดที่หาบางบทความไม่เจอ หรืออยากอ่านบทความย้อนหลังแบบเต็มๆ สามารถอ่านได้ที่เว็บบล็อกลิงค์นี้ครับ

https://reportingengineer.com/

ถ้าสนใจเทคนิคกราฟ อ่านแบบจุใจได้จากลิงค์นี้ครับ https://reportingengineer.com/category/report/graph/

ถ้าสนใจเทคนิค Pivot Table อ่านได้เต็มที่จากลิงค์นี้ครับ https://reportingengineer.com/category/microsoft-excel/pivot-table-microsoft-excel/

ถ้าสนใจสูตรหรือฟังก์ชันต่างๆใน Excel อ่านได้จากลิงค์นี้ครับ รับรองว่าไม่เหมือนใคร https://reportingengineer.com/category/microsoft-excel/function/

วิศวกรรีพอร์ต

คนธรรมดาผู้มีประสบการณ์ทำงานหลากหลายตำแหน่ง คลุกคลีกับการทำรีพอร์ตมาโดยตลอด สุดท้ายค้นพบแนวทางของตัวเอง จึงอยากแบ่งปันเคล็ดลับและประสบการณ์ให้กับผู้สนใจ

4 thoughts on “ขอบคุณ 90,000 Likes

  1. เยี่ยมครับ เป็นกำลังใจให้และติดตามเสมอครับ

Leave a Reply

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.