มีเกมมาให้คิดสนุกๆครับ
คุณคิดว่า ตัวเลขในตารางข้างล่างนี้ มีอะไร “ผิดปกติ” หรือไม่?
ถ้ามี สิ่งที่คุณคิดว่า “ผิดปกติ” คืออะไร?
หรือ ถ้าต้องนำเสนอข้อมูลนี้ในที่ประชุม คุณจะนำเสนอว่าอย่างไร?
ติ๊กต่อก
ติ๊กต่อก…
(ถ้ายังคิดอยู่ อย่าเพิ่งอ่านบรรทัดต่อไปนะครับ)
หมดเวลา!
ในความคิดของผม ความ “ผิดปกติ” ของตารางนี้ สามารถอธิบายได้ 2 มุมมอง คือ
1 มองในมุมวิเคราะห์ตัวเลข
หลายคนอาจใช้ Sense Of Number แล้วรู้สึกว่า ตัวเลขดูผิดปกติ
เพราะ ต้นทุนต่อหน่วยของซัพพลายเออร์เอสูงกว่าซัพลายเออร์บี ทุกเดือน
ไล่ตั้งแต่เดือน 1 ถึงเดือน 5
แต่ทำไม ตัวเลขสรุปสุดท้ายกลับต่ำกว่า!
(10.69 vs 10.74)
คำถามที่แว่บขึ้นมาคือ
“ตัวเลขผิดหรือเปล่า?”
สำหรับโจทย์ข้อนี้ ตัวเลขไม่ได้ผิดครับ
แต่ที่เป็นเช่นนี้ เพราะเกิดสิ่งที่เรียกว่า
มายาค่าเฉลี่ย
นั่นคือ ตัวเลขเดือน 1 ถึงเดือน 5 ได้สร้างภาพมายาให้กับสมองของเรา
จนเราเกิดการรับรู้ว่า ต้นทุนต่อหน่วยของซัพพลายเออร์เอ ต้องสูงกว่า ซัพพลายเออร์บี
แต่ถ้าเราลองวิเคราะห์สัดส่วนปริมาณการขาย จะพบว่า
สัดส่วนของเดือน 5 แตกต่างจากเดือน 1-4 อย่างเห็นได้ชัด
กล่าวคือ สัดส่วนปริมาณของซัพพลายเออร์เอ : ซัพพลายเออร์บี เดือน 5 คือ 21:79
ในขณะที่ สัดส่วนเดือน 1-4 อยู่ที่ประมาณ 70:30
แถมเดือน 5 ยังเป็นเดือนที่ต้นทุนต่อหน่วยสูงที่สุด
เจ้า สัดส่วนที่เปลี่ยนไป และ ต้นทุนต่อหน่วยสูงที่สุดในเดือน 5 นี่เอง ที่เป็นตัวพลิกเกม!
เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น เราควรเพิ่มมุมมมองการวิเคราะห์
ต้นทุนต่อหน่วยสะสมของแต่ละเดือน (YTD Cost; YTD = Year-To-Date)
และ สัดส่วนปริมาณการขายของแต่ละเดือน เข้าไปด้วย
หรือแสดงดังภาพข้างล่างครับ
แต่พอเจอ การเปลี่ยนแปลงของสัดส่วน และต้นทุนต่อหน่วยสูงที่สุดของเดือน 5 เข้าไป
ต้นทุนต่อหน่วยสะสมของซัพพลายเออร์เอ เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจาก 10.61 เป็น 10.69
แต่ ต้นทุนต่อหน่วยสะสมของซัพพลายเออร์บี เพิ่มขึ้นจาก 10.21 เป็น 10.74!!
ต้นทุนต่อหน่วยสะสมของซัพพลายเออร์บี จึงพลิกขึ้นมาสูงกว่า ซัพพลายเออร์เอ
อย่างไม่มีปีขลุ่ย ทรัมเป็ต และแซ็กโซโฟน (แถมให้ ^^)
เพื่อให้เห็นภาพ อาจแสดงด้วยกราฟ แบบนี้ครับ
ความชันของกราฟ YTD Supp B ขึ้นสูงปรี๊ดในเดือน 5 จนแซงกราฟ YTD Supp A ซะงั้น
เรื่อง “มายาค่าเฉลี่ย” นี้ เราคาคงต้องอธิบายเป็นประเด็นแรก ตั้งแต่ตอนนำเสนอ
ไม่งั้นคนฟังจะไม่เชื่อถือตัวเลข
และคิดว่า สิ่งที่เรากำลังจะพูดต่อไปนั้นผิด
เพื่อให้อธิบายง่ายขึ้น เราอาจใช้กราฟด้านบน ประกอบการนำเสนอก็ได้ครับ
อ้อ! สำหรับสูตรการคิดต้นทุนต่อหน่วยสะสม เราใช้แนวคิดค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก (Weighted Average) และ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) เข้ามาช่วยคำนวณ
สามารถเขียนสูตรได้ง่ายๆ แบบนี้ครับ
สมมติว่า เรากำลังใส่สูตรในเซลล์ F11 ซึ่งเป็นต้นทุนต่อหน่วยสะสมของเดือน 1-2
สูตรคือ
=SUM($E7:F7)/SUM($E3:F3)
หรือก็คือ
= ยอดซื้อสะสม (บาท)/ ปริมาณสะสม (กิโลกรัม)
เราต้องใส่ ดอลลาร์ไซน์ ($) ไว้หน้า $E7 และ $E3 เพื่อล็อคไม่ให้คอลัมน์ E เลื่อน เวลาลากสูตรไปทางขวา
จากนั้นก็ก็อปปี้สูตรไปทางขวา และลงล่างโลด
ไม่ต้องเขียนสูตรใหม่นะครับ ^__^
ทำไมต้องคิดค่าเฉลี่ยแบบนี้ด้วยล่ะ? คิดค่าเฉลี่ยสะสมจากค่าเฉลี่ยเลยไม่ได้หรือ?
ถ้าเราคิดค่าเฉลี่ยสะสม จากค่าเฉลี่ยของแต่ละเดือน เลย
เช่น ใส่สูตรค่าเฉลี่ยสะสมของซัพพลายเออร์เอ เดือน 1-5 เป็น
=AVERAGE(E9:I9)
ถ้าเราคิดแบบนี้ เรากำลังตั้งสมมติฐานว่า ปริมาณการซื้อของแต่ละเดือนเท่ากัน โดยไม่รู้ตัว!!
แต่โจทย์ข้อนี้ ปริมาณการซื้อของแต่ละเดือนไม่เท่ากันเลย
ด้วยความที่ ปริมาณการซื้อต่อเดือนไม่เท่ากันนี่เอง เราจึงต้องคำนวณโดยการใช้ยอดรวมสะสมทั้งหมด
หรือก็คือใช้หลักการของ Weighted Average นั่นเอง
ถ้ามองอีกมุมนึง อาจเขียนสูตร Weighted Average ค่าเฉลี่ยสะสม ของซัพพลายเออร์เอ เดือน 1-5 ได้เป็น
=SUMPRODUCT($E9:I9,$E3:I3)/SUM($E3:I3)
นั่นคือการนำปริมาณการซื้อ (kg) เข้ามาถ่วงน้ำหนักนั่นเอง
แล้วทำไมไม่บอกแต่แรกว่า ให้คิดต้นหน่วยต่อหน่วยสะสมด้วยล่ะ?
นั่นคือเหตุผลที่เค้าจ้างเรามาทำงานไงล่ะครับ ^__^
ใครสนใจรายละเอียดการเขียนสูตร หรือวิธีการทำกราฟ สามารถดาวน์โหลดไฟล์ตัวอย่างได้เลยครับ
.
2 มองในมุมวิเคราะห์ธุรกิจ
ถ้ามองในมุมวิเคราะห์ธุรกิจ อาจเกิดคำถามขึ้นมากมาย เช่น
- ทำไมเดือน 1-4 ถึงซื้อจากซัพพลายเออร์เอเยอะ ทั้งที่ต้นทุนต่อหน่วยแพงกว่าซัพพลายเออร์บี?
- ทำไมเดือน 5 ถึงซื้อจากซัพพลายเออร์บีเพิ่มขึ้น? ทั้งๆที่ซื้อจากซัพพลายเออร์เอเยอะกว่ามาตลอด
- ทำไมยิ่งซื้อ ต้นทุนต่อหน่วยยิ่งสูง? มันควรจะต่อรองได้เพิ่มขึ้นสิ!
- ทำไมไม่ลองหาซัพพลายเออร์เจ้าอื่นบ้าง?
เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นคำถามที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
และคำตอบก็สามารถเป็น
- เดือน 1-4 ซัพพลายเออร์บีมีของที่พร้อมขายได้น้อยมาก เพราะอยู่ในช่วงเปลี่ยนเครื่องจักร
- เดือน 5 ซัพพลายเออร์บี เปลี่ยนเครื่องจักรเสร็จแล้ว จึงมีของพร้อมขายมากขึ้น
- ต้นทุนต่อเหน่วยสูงขึ้นทุกเดือน เนื่องจากปัจจัยตามฤดูกาล (Seasonal Impact)
- ซัพพลายเออร์เจ้าใหญ่ในตลาดมีเพียง 2 เจ้า เนื่องจากติดปัญหาเรื่องการลงทุนสูง และสัมปทานกับภาครัฐ
ในบางช่วงเวลา ตลาดก็เป็นของผู้ซื้อ
และ ในบางช่วงเวลา ตลาดก็เป็นของผู้ขาย
มีเงินซื้อ ไม่ได้แปลว่า สามารถซื้อได้ทุกครั้งเสมอไป
แล้วเราควรอธิบายมุมมองเหล่านี้กับผู้ฟังไหม?
ขึ้นอยู่กับว่า ผู้ฟังเป็นใครครับ
ถ้าเป็นคนที่ดูข้อมูลทุกเดือน รู้เรื่องธรรมชาติของธุรกิจอยู่แล้ว ในฐานะคนนำเสนอ เราสามารถข้ามประเด็นเหล่านี้ได้
แต่ ถ้าไม่ใช่คนที่ดูข้อมูลนี้ทุกเดือน หรือมีพื้นความรู้เกี่ยวกับธุรกิจน้อยมาก คงต้องปูพื้นเรื่องธรรมชาติ และการแข่งขันของธุรกิจ
มุมมองเหล่านี้ คือ มุมมองที่สำคัญ มากกว่า มุมมองเชิงตัวเลขเสียอีก!
.
มุมมองเชิงตัวเลข ขอแค่มี Sense Of Number เดี๋ยวก็มองออก
หรือถ้ามีโปรแกรมไฮโซ เรื่องแบบนี้จะถูกวิเคราะห์ออกมาเสร็จสรรพ
แต่มุมมองวิเคราะห์เชิงธุรกิจ เป็นมุมมองที่โปรแกรมไฮโซ(ตอนนี้ยัง)ทำไม่ได้
และนั่นคือ “มูลค่าเพิ่ม” ที่เราเจ๋งกว่าโปรแกรมไฮโซเหล่านั้นครับ ^__^
.
หากคุณชอบบทความแนวนี้ สามารถอัพเดตบทความใหม่ๆโดยคลิก Like เฟสบุ๊คแฟนเพจ วิศวกรรีพอร์ต หรือคลิก ที่นี่
อย่าลืมแชร์ให้เพื่อนอ่านเพื่อเป็นกำลังใจให้คนเขียนด้วยนะครับ ^_^