คุณเคยอ่านหนังสือเรื่อง The Last Lecture ไหมครับ?
ถ้าเคย ลองเมนต์คุยกันใต้บทความนี้หน่อยไหมครับ ว่าคุณรู้สึกอย่างไรกับหนังสือเล่มนี้ ^__^
ถ้าไม่เคย ผมอยากให้คุณแวะร้านหนังสือใกล้บ้าน มองหาหนังสือเล่มนี้ ถ้าพบบนชั้นวาง รีบคว้าและซื้อกลับมาอ่านเลย
ทำไมผมถึงอยากให้คุณอ่านหนังสือเล่มนี้น่ะหรือครับ?
ให้ผมเล่าความรู้สึกเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ให้ฟังละกัน
ผมซื้อหนังสือเล่มนี้มาปีกว่าแล้ว ตอนไปร้านหนังสือไม่ได้ตั้งใจซื้อด้วยซ้ำ ตั้งใจซื้ออีกเล่มนึง พอเจอหนังสือที่ต้องการแล้ว ขณะที่เดินไปจ่ายเงินก็เดินผ่านชั้นวาง เหลือบไปเห็นหนังสือเล่มนี้ คุ้นๆมีคนเคยบอกว่าดี ก็เลยหยิบเพิ่มมาอีกเล่มนึงและนำไปจ่ายเงิน
พอกลับถึงบ้านก็เก็บเข้าชั้นวางหนังสือ และวางอยู่อย่างนั้นจนลืมไปแล้วว่าเคยซื้อมา
(ใครมีนิสัยแบบผมบ้าง ^^)
ช่วงปลายปี 2017 ผมจัดเรียงหนังสือบนชั้นวางที่บ้าน บางเล่มที่อ่านแล้ว (หรือคิดว่าคงไม่ได้อ่าน) ก็นำไปบริจาคที่มูลนิธิกระจกเงา จัดไปจัดมาจนเจอหนังสือเล่มนี้ กอปรกับอยากอ่านหนังสือแนวเสริมพลังบวกให้ตัวเอง เลยคิดว่าฟ้าคงบอกให้เราควรอ่านหนังสือเล่มนี้เสียที
และนั่นคือการตัดสินใจที่ดีมาก นี่คือหนึ่งในหนังสือดีที่สุดที่ผมเคยอ่าน!
เดอะลาสต์เลกเชอร์ คือบันทึกการเลกเชอร์ครั้งสุดท้ายของคุณแรนดี เพาช์ (Randy Pausch)
ทำไมถึงเป็นเลกเชอร์ครั้งสุดท้ายน่ะหรือครับ?
เพราะคุณแรนดีป่วยเป็นมะเร็งตับอ่อนระยะสุดท้าย ก่อนจะเลกเชอร์ครั้งนี้ คุณหมอบอกว่าเขาจะมีอายุอีกเพียง 3-6 เดือนเท่านั้น !
ถ้าคุณมีอายุอีกเพียง 3 เดือน คุณจะมาเลกเชอร์ที่มหาวิทยาลัยไหม?
คนส่วนใหญ่คงอยากใช้เวลาที่เหลืออยู่กับครอบครัว แต่คุณแรนดีกลับยอมสละเวลามาเลกเชอร์ และเค้าทุ่มเทเวลากับเตรียมเนื้อหาเพื่อเลกเชอร์ครั้งนี้มาก
คุณอาจคิดว่าคุณแรนดีอายุสัก 60 แต่ไม่ใช่เลย คุณแรนดีอายุเพียง 47 ปี มีลูก 3 คน ลูกคนโตของเขาเพิ่งอายุ 6 ขวบ ลูกคนสุดท้องเพิ่งอายุ 18 เดือนเท่านั้นเอง ตอนนั้นชีวิตของเขากำลังรุ่งสุดๆ
เขาบอกว่าลูกๆยังเด็ก น่าจะยังมีความทรงจำกับเค้าน้อย ยิ่งลูกคนเล็กยิ่งไม่ต้องพูดถึง เลยอยากให้การเลกเชอร์ครั้งนี้เป็นบันทึกการสอนลูก เมื่อลูกๆโตขึ้น จะได้มีเลกเชอร์นี้คอยชี้แนะแนวทาง
และถ้าเลกเชอร์ครั้งนี้ได้รับการยอมรับ ลูกๆของเขาจะได้ภูมิใจ
แล้วเลกเชอร์เรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร?
หัวข้อของเลกเชอร์เรื่องนี้คือ
“ทำความฝันวัยเด็กของคุณให้เป็นจริงได้อย่างแท้จริง”
ความฝันวัยเด็กของคุณแรนดีมีอะไรบ้างน่ะหรือครับ?
มี 6 ข้อครับ คือ
- ล่องลอยอยู่ในแรงโน้มถ่วงเท่ากันศูนย์
- ได้เล่นในทีมอเมริกันฟุตบอลอาชีพ
- เป็นนักเขียนให้หนังสือสารานุกรมโลกสักหนึ่งหัวข้อ
- เป็นกัปตันเคริ์ก แห่งสตาร์เทร็ค
- ชนะรางวัลเป็นตุ๊กตาสัตว์
- เป็นนักจินตนาการสร้างสรรค์แห่งวอลท์ ดีสนีย์
คุณห็นความฝัน 6 ข้อของคุณแรนดี แล้วคิดว่าเขาน่าจะทำงานเกี่ยวกับอะไรครับ?
ก่อนอ่านหนังสือเล่มนี้ ผมคิดว่าคุณแรนดีน่าจะทำงานทางด้านภาษาหรือสังคมศาสตร์ เพราะหนังสือเล่มนี้ได้รับการยกย่องด้านการสร้างแรงบันดาลใจ และการยกระดับจิตวิญญาณความคิด คนเขียนก็น่าจะมาแนวๆนั้น
แต่ไม่ใช่เลย คุณแรนดีคือศาสตราจารย์ด้านคอมพิวเตอร์
เค้าเป็นนักวิทยาศาสตร์ !
หรือจะเรียกว่าเค้าเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกวิทยาการด้านโลกเสมือนจริง (Virtual Reality: VR) ก็มิผิด
พอผมอ่านประวัติแล้ว อึ้งเลย ไม่อยากเชื่อว่าคนที่ทำงานด้านคอมพิวเตอร์ ด้านที่ต้องใช้ตรรกะสูง จะมีจิตวิญญาณความคิดละเอียดอ่อนถึงขนาดนี้
และความฝันทั้ง 6 ข้อที่ดูเหมือนบ้าบิ่นและไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยนั้น เค้าทำให้เป็นจริงอย่างแท้จริงได้ถึง 4 ข้อ
มี 1 ข้อที่ทำไม่ได้ และอีก 1 ข้อที่ทำได้แบบอ้อมๆ (ขอไม่เฉลยว่าอะไรนะครับ)
คุณแรนดีเล่าให้ฟังว่า เขาไม่ได้ลงมือเขียนหนังสือเล่มนี้เอง คุณเจฟฟรีย์ ซาสโลว์ ช่วยเค้าเขียน
คุณเจฟฟรีย์คือหนึ่งในผู้ฟังการบรรยายครั้งนั้นด้วย และได้ทำงานร่วมกับคุณแรนดีเพื่อทำหนังสือเล่มนี้ให้สมบูรณ์มากขึ้น
นั่นคือพอจบการบรรยายครั้งนั้นแล้ว ทุกเช้าที่คุณแรนดีปั่นจักรยานเพื่อออกกำลังกาย เขาจะโทรศัพท์คุยกับคุณเจฟฟรีย์เพื่อเล่าประสบการณ์อื่นๆให้ฟัง เพื่อให้คุณเจฟฟรีย์เรียบเรียงและเพิ่มเติมลงไป จนทำให้หนังสือเล่มนี้สมบูรณ์
ผมชอบคำนิยมของคุณวนิษา เรซ (หนูดี) ผู้แปลหนังสือเล่มนี้เป็นภาษาไทยมาก เธอเขียนไว้ว่า
“ถ้าใครมีโอกาสได้สัมผัสหนังสือเล่มนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้อ่านจะไม่เติบโตขึ้นทางปัญญาและจิตวิญญาณ ช่วยไม่ได้เลยที่จะไม่รักพ่อแม่และคนใกล้ตัวมากขึ้น และหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ที่จะคิดวางแผนเรื่องลูกๆให้รอบคอบกว่านี้ เป็นหนังสือที่ใครๆก็ต้องอ่าน เพราะเกิดเป็นมนุษย์ก็มีสองเรื่องหลักๆที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ ความตาย และการใช้ชีวิต”
ผมไม่เคยอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษ แต่คิดว่าคุณหนูดีแปลหนังสือเล่มนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม การใช้คำ การร้อยเรียง การต่อประโยค เธอทำได้แนบสนิทไร้รอยต่อ ทั้งๆที่เธอไม่ใช่นักแปลมืออาชีพ คือความโชคดีของคนไทยที่ได้คุณหนูดีมาแปลหนังสือเล่มนี้ ขอชื่นชมคุณหนูดีมากๆครับ
แค่อ่านหนังสือช่วงต้นก็ทำให้ผมน้ำตารื้น คุณคงคิดว่าหนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับความตาย คุณแรนดีคงเขียนในเชิงเรียกคะแนนสงสาร แต่ไม่ใช่เลย ไม่มีการเรียกคะแนนความสงสารสักคำเดียวในหนังสือเล่มนี้
ผมชอบประโยคตอนขึ้นต้นเลกเชอร์ของคุณแรนดีที่ว่า
“ถ้าผมไม่ได้ดูหดหู่หรือเศร้าโศกเท่าที่ควร ก็ขออภัยด้วยที่ทำให้คุณผิดหวัง”
(ตามมาด้วยเสียงหัวเราะของผู้ฟัง)
นั่นคือตัวตนของหนังสือเล่มนี้เลย ไม่มีการชวนให้หดหู่หรือเศร้าโศก ตรงกันข้าม กลับชวนให้เรามองโลกแง่ดี ให้เราลองมองย้อนกลับไปในวัยเด็ก เราเคยมีความฝันอะไรบ้าง เราอยากเป็นอะไร ความฝันของเราถูกทิ้งไว้ตั้งแต่ตรงไหน และยังไม่สายเกินไปที่จะทำความฝันให้เป็นจริง
แล้วทำไมผมถึงน้ำตารื้นน่ะหรือครับ?
เพราะผมเสียดายว่า ทำไมคนที่สมบูรณ์เพอร์เฟ็คทั้งในแง่ของความสามารถและจิตวิญญาณถึงได้อายุสั้น ยิ่งได้อ่านเรื่องราวของเขา ยิ่งได้รับรู้ความคิดของเขา ยิ่งทำให้รักเขา
หนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็น 6 พาร์ต แต่ละพาร์ตสื่อมุมมองแตกต่างกันออกไป
ผมบอกกับตัวเองว่าจะไม่อ่านหนังสือเล่มนี้รวดเดียวจบ จะค่อยๆอ่าน ค่อยๆคิดตาม หลายครั้งที่อ่านจนจบบท ผมจะวางหนังสือไว้บนตัก ใช้นิ้วกลางมือขวาคั่นหน้าที่อ่านไว้ ทอดความคิดว่าตัวเองก็เคยมีเรื่องราวคล้ายๆแบบนี้ แล้วก็จมลึกในห้วงภวังค์ของตัวเอง
ขอแนะนำว่าคุณควรจะอ่านหนังสือนี้ช้าๆทีละตัวอักษร นึกเปรียบเทียบกับเรื่องราวชีวิต นึกว่าถ้าเป็นคุณ คุณจะทำอย่างไร ลองนึกจินตนาการความเป็นตัวตนของคุณแรนดี แล้วคุณจะรักหนังสือเล่มนี้มากขึ้น
คุณแรนดีพูดถึงทั้งข้อดีและข้อเสียของตัวเอง เขาบอกด้วยว่าตัวเขาเป็นคนเอาจริงเอาจัง (ผมอ่านดูแล้วค่อนไปทางก้าวร้าว (Aggressive) เลยทีเดียว) ชอบวางข้าวของระเกะระกะ (จนทำให้ภรรยาของเขาแทบจะกรี๊ด) และชอบแหกกฎ
แต่เค้าเป็นคนมองโลกในแง่ดี ให้ความสำคัญกับการทำงานเป็นทีม และถ้าตั้งใจทำอะไรก็จะทุ่มสุดตัวเพื่อให้ได้สิ่งนั้น
มีคนถามเขาว่า เขาทำอย่างไรจึงสามารถเป็นศาสตราจารย์ได้เร็วกว่าคนอื่นๆ (เขาได้รับตำแหน่งเป็นศาสตราจารย์ตอนอายุ 30 ต้นๆเท่านั้น)
เขาตอบว่า ถ้าอยากรู้ความลับ ให้โทรหาเขาที่ห้องทำงานวันศุกร์ตอนสี่ทุ่ม ศุกร์ใดก็ได้ แล้วเขาจะบอกว่าทำอย่างไร
ซึ่งเขาได้บอกแล้ว เคล็ดลับคือการทำงานหนัก (รายละเอียดในตอนที่ 43: การแก้ปัญหาด้วยคืนวันศุกร์)
ส่วนใหญ่แล้วเราจะออกไปแฮงก์เอาต์กับเพื่อนในคืนวันศุกร์ แต่คุณแรนดีไม่ใช่ เค้ายังคงทำงานแม้ตอนนั้นจะเป็นเวลาสี่ทุ่มก็ตาม แถมให้โทรมาศุกร์ใดก็ได้ แปลว่าเค้าทำอย่างนี้ทุกวัน
หนังสือเล่มนี้มีความยาว 219 หน้า (ไม่รวม “คำขอบคุณ” และ “ประวัติผู้เขียน”)
เมื่อผมอ่านถึงพาร์ตสุดท้าย (VI: คำพูดทิ้งท้าย) ซึ่งเริ่มตั้งแต่หน้า 203 ผมน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว พอรู้ตัวก็หยิบทิชชู่มาเช็ด แต่เช็คเท่าไรก็ไม่หมด และน้ำตาไหลพรากเมื่อเขาพูดถึงภรรยา
คุณคงคิดว่าพาร์ตนี้คงเป็นพาร์ตเรียกน้ำตา ถ้าอธิบายเป็นสี คงจะเป็นสีเทาครึ้มๆ อารมณ์บีบคั้น แต่ไม่ใช่เลย อารมณ์ที่ผมสัมผัสได้คือสีขาว และตรงริมขอบเป็นสีออกนวลๆ ครีมๆด้วยซ้ำไป เป็นความรู้สึกที่สว่างมาก ผมร้องไห้เพราะตื้นต้นกับความรักคุณแรนดีมีให้ลูกๆและภรรยา
(แม้กระทั่งตอนพิมพ์ถึงตอนนี้ ผมก็ตัวสั่นเทา เพราะคิดถึงอารมณ์ตอนนั้น)
อาจเป็นเพราะผมมีลูกสาวตัวน้อยหนึ่งคน และลูกชายที่กำลังอยู่ในท้องของภรรยาอีกหนึ่งคน จึงเข้าใจความรู้สึกของคุณแรนดีที่ส่งผ่านในพาร์ตนี้มากเป็นพิเศษ
แต่ผมโชคดีกว่าคุณแรนดี ดังนั้นผมควรจะใช้เวลาและเติมเต็มวัยเด็กของลูกๆให้สมบูรณ์
สำหรับใครที่ไม่ถนัดอ่านหนังสือ สามารถดูบันทึก The Last Lecture ของคุณแรนดีผ่านทางลิงค์นี้ได้เลยครับ
ถ้าเป็นไปได้ อยากให้อ่านหนังสือให้จบก่อนแล้วค่อยดูคลิปนะครับ เพราะเมื่อภาพในจินตนาการตอนอ่านมาบรรจบกับคลิปนี้ มันเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมมากๆ ^__^
ผมใช้เวลานั่งเขียนบทความนี้กว่า 2 ชั่วโมงโดยไม่มีส่วนได้เสียกับหนังสือเล่มนี้เลย แต่ก็อยากทำ เพราะประทับใจมากๆ
มากถึงขนาดอยากส่งผ่านความประทับใจให้คนอื่นๆได้รับรู้ อยากให้ทุกคนที่ผมรู้จักและไม่รู้จักได้อ่าน
หนังสือเล่มนี้ได้ยกระดับจิตวิญญาณของผมเหมือนที่คุณหนูดีเขียนไว้จริงๆ
และแน่นอนว่าเมื่อลูกๆของผมโตพอ ผมจะแนะนำให้พวกเขาทั้งสองอ่าน ‘เดอะลาสต์เลกเชอร์’ แน่นอน …
ถึง…. คุณแรนดี เพาช์
แม้เราไม่เคยเจอกัน แต่ The Last Lecture มีความหมายต่อผมมาก ขอบคุณที่ร้อยเรียงเรื่องราวเหล่านี้ขึ้นมา ขอบคุณที่จุดประกายความฝันในวัยเด็กของผม
ขอบคุณอีกครั้งจากใจจริง
บิว วิศวกรรีพอร์ต
.
หากคุณชอบบทความแนวนี้ สามารถอัพเดตบทความใหม่ๆโดยคลิก Like เฟสบุ๊คแฟนเพจ วิศวกรรีพอร์ต หรือคลิก ที่นี่
อย่าลืมแชร์ให้เพื่อนอ่านเพื่อเป็นกำลังใจให้คนเขียนด้วยนะครับ ^__^
เดี๋ยวจะลองหาอ่านบ้าง ขอบคุณค่ะ
ยินดีครับ
ดีมากครับ ขอบคุณที่แนะนำ