บทเรียนอันแสนแพง ของความคิดที่ว่า “เก่ง Excel กับ PowerPoint ก็พอแล้ว”

ผมเคยคิดว่า ถ้าเก่ง Excel กับ PowerPoint แล้ว ทุกบริษัทล้วนต้องการตัวผม!

ถ้าใครทำเอ็กเซลหรือพาวเวอร์พอยต์เก่งจะดูเท่มาก ต่อให้หน้าตาไม่ดี ก็หล่อขึ้นในบัดดล

ผู้บริหารก็ชอบดึงตัวพนักงานที่เก่งเรื่องพวกนี้มาร่วมทีม

งั้นผมต้องเก่งเอ็กเซลและพาวเวอร์พอยต์!

ผมบอกตัวเองอย่างนั้น และพยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อถีบตัวเองให้โดดเด่นในเรื่องนี้

ผมพยายามอยู่หลายปี จากที่รู้แค่ว่าเอ็กเซลเอาไว้สร้างตาราง และพาวเวอร์พอยต์เอาไว้ทำสไลด์

จนสุดท้ายผมคิดว่า ผมน่าจะเป็นหนึ่งในคนที่เก่งที่สุดของบริษัทสำหรับสองโปรแกรมนั้น

แถมยังฝึกใช้ไมโครซอฟต์แอ็กเซส (Microsoft Access) เพื่อทำข้อมูลบางอย่างแทนเอ็กเซล

เพราะเอ็กเซลเวอร์ชัน 2003 มีข้อจำกัดพอควร (มีแค่ 65,535 แถว)

จนเพื่อนที่ทำงานบางคนยกให้เป็น

Microsoft Engineer

ผม “โซพราว” ในตัวเองมาก

มีผลงานออกมามากมาย

ไฟล์คำนวณที่ทำ ดูเท่สุดๆ แค่เปลี่ยนตัวแปรนิดเดียว ที่เหลือคำนวณแบบอัตโนมัติหมด

สไลด์ที่ทำก็สวย อ่านง่าย จนหลายคนขอไฟล์ไปศึกษาว่า ทำ “หน้าตาแบบนี้” ได้ยังไง ทำยังไงถึงดูสวย

ตอนนั้นผมคิดว่า ผมสามารถทำอะไรก็ได้ และความสามารถที่ผมมีนี้ เป็นที่ต้องการของตลาดแน่นอน

ชีวิตการทำงานอยู่ในช่วงขาขึ้นสุดๆ

ผมมั่นใจว่า ไม่ว่าจะทำงานที่ไหน ผมจะกลายเป็นดาวรุ่งของบริษัทนั้น…

.

แต่แล้วชีวิตก็หมุนกลับตาลปัตร 180 องศา เมื่อผมยัายไปทำงานอีกบริษัทหนึ่ง

ที่บริษัทนั้นมองว่า ผมก็แค่

“คนทำเอ็กเซลเก่งคนนึง”

ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น

จริงๆ!

การย้ายงานครั้งนั้นถือเป็น “จุดเปลี่ยนความชันชีวิต” จากกราฟที่กำลังขึ้น กลายเป็น ทิ้งดิ่งเหว

ผมไม่สามารถแสดงศักยภาพออกมาได้เลย เก่งเอ็กเซลหรือพาวเวอร์พอยต์ไปก็เท่านั้นเพราะ

ผมไม่เข้าใจธุรกิจ!!

ผมไม่สามารถแสดงความเห็นได้!

การทำแค่ตารางสรุปข้อมูล ไม่ได้มีความสำคัญอะไรสำหรับที่นั่น

การทำพาวเวอร์พอยต์สวยกลายเป็นสิ่งไร้ค่า เมื่อปราศจากการวิเคราะห์

ผมทำได้แค่ประคองตัวด้วยการอัพเดตข้อมูลทางเศรษฐกิจ ใส่เป็นส่วนหนึ่งของรีพอร์ตประจำเดือน ซึ่งไม่ใช่ส่วนสำคัญอะไรเลย

จนบางคนไม่รู้ว่าวันๆนึงผมทำอะไรด้วยซ้ำไป…

จาก Microsoft Engineer กลายมาเป็น

Google Manager

ที่มีหน้าที่แค่หาข้อมูลเท่านั้น

ชีวิตผมเปลี่ยนจาก หน้ามือ เป็น หลังตีน ทันที!

ผมงงมากว่า มันเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร..

ซ้ำร้ายเมื่อ Microsoft 2007 เริ่มแพร่หลาย ความมั่นใจของผมถูกทำลายป่นปี้ เมื่อเจอกับฟีเจอร์ใหม่ที่ชื่อว่า

Smart Art

SmartArt_Logo

และ Pivot Table

PivotTable_icon

ถ้ามีเจ้าสองตัวนี้แล้ว ต่อให้คนพื้นฐานไม่ดี ก็สามารถสร้างพรีเซ็นเตชั่นสวยๆ

หรือทำรีพอร์ตสรุปตัวเลขที่ดูดีแบบมืออาชีพได้

เจ้า “หน้าตาแบบนี้” ที่เคยเป็นจุดเด่นของสไลด์ผม สามารถใช้ Smart Art ทำได้เหมือนกันเด๊ะ!

แถมทำได้ง่ายกว่าวิธีที่ผมใช้อีกต่างหาก

ความ “โซพราว” ของผม พังทลายลงมาทันที..

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อบริษัทนำระบบที่ชื่อว่า Sales Force เข้ามาใช้

SalesForceLogo

ความสามารถเรื่องการทำเอ็กเซล หรือพาวเวอร์พอยต์ มันดูไร้ค่าลงไปเลย

เพราะเราจะทำทุกอย่างลงใน Sales Force แทน

จาก “ดาวรุ่ง” ที่เคยคิดไว้ กลายสภาพเป็น “ดับอนาถ”

.

แต่…

เจ้า SalesForce นี่แหละครับที่เป็นทั้งวิกฤต และ โอกาส

ด้วยความที่ว่ามันใหม่มาก (ตอนนั้นในเมืองไทยแทบไม่มีบริษัทไหนนำมาใช้เลย) และฟีเจอร์ที่ผู้บริหารสนใจคือสิ่งที่เรียกว่า

Dashboard

คนส่วนใหญ่ใช้เป็น แต่ออกแบบไม่เป็น

นั่นแหละครับคือ แสงหิ่งห้อย ที่ผมยังคว้าไว้ได้

แต่ก็แค่ประคองตัวเท่านั้นเอง ไม่ได้โดดเด่นอะไรเลย

ทำไมถึงใช้ Dashboard เป็นล่ะ? เคยใช้มาก่อนหรือ?

เปล่าครับ ผมรู้จักเจ้า Sales Force (แต่คนทำงานเซลล์มักเรียกว่า Force Sales ^_^) ก็ตอนนั้นล่ะครับ

ด้วยประสบการณ์จากเอ็กเซลและพาวเวอร์พอยต์ ทำให้ผมมีทักษะการประยุกต์ใช้กราฟ รู้ว่าเมื่อไรควรใช้กราฟนี้ ข้อมูลใดควรใช้กราฟนั้น

จึงสามารถออกแบบ Dashboard ได้ดีระดับหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม ผมไม่สามารถแสดงศักยภาพได้มากนัก เพราะติดปัญหาเรื่องความเข้าใจธุรกิจ

ผมคุยกับตัวเอง และคิดว่าไปไม่รอดกับบริษัทนี้แน่นอน

คงต้องลองเสี่ยงหางานใหม่

ถามว่ากลัวไหม

กลัวแน่นอน เพราะตอนนั้นความมั่นใจที่เคยมี มันป่นปี้ไปหมดแล้ว

แต่..ถ้าปล่อยเป็นแบบนี้ต่อไป จากป่นปี้ มันจะกลายเป็นน ผุยผง

ผมตัดสินใจย้ายบริษัท และหาความท้าทายใหม่ในแผนกที่ไม่เคยทำมาก่อน นั่นคืองานในแผนกที่ชื่อว่า

บัญชี

ทั้งๆที่ผมจบวิศวะ!

แม้จะเคยเรียนบัญชีมาบ้าง แต่มันก็ “บ้าง” จริงๆ

ต้องปรับตัวเยอะมากๆ

“โชคดี” ที่การทำงานส่วนใหญ่ เน้นการจัดการและวิเคราะห์ข้อมูล ผมจึงพอเอาตัวรอดได้

รูปแบบการทำธุรกิจของที่นี่ไม่ซับซ้อนเหมือนบริษัทก่อน ผมจึงทำความเข้าใจกับธุรกิจได้ระดับหนึ่ง

หรืออาจเป็นเพราะ “โชคดี” เคยผ่านสิ่งที่ยากมาแล้วก็ได้…

ผมสามารถปรับตัวได้เรื่อยๆ สามารถแสดงความเห็น วิเคราะห์ นำเสนอข้อมูล

ความมั่นใจเริ่มกลับคืนมาบ้าง

แต่…

พอมาเจอกับกระดูกตัวใหม่ที่ชื่อว่า

Hyperion

Hyperion_Interface

(Hyperion เป็นโปรแกรมเกี่ยวกับการทำรีพอร์ตทางบัญชี มักใช้แสดง งบดุล (Balance Sheet), งบกำไร-ขาดทุน (Income Statement) รวมถึงรีพอร์ตอื่นๆ ที่แสดงสถานะทางธุรกิจของบริษัท)

มันทำให้ผมเป๋ไปเหมือนกัน เพราะผมไม่เคยรู้จักมันมาก่อน

แถมความรู้เรื่องบัญชีของผมก็จำขัดจำเขี่ยสุดๆ

งบกำไร-ขาดทุน ยังพอกล้อมแกล้มถูไถไปได้

งบดุลนี่… ไปไม่เป็นจริงๆ

แต่…ผมจำเป็นต้องใช้มัน!

โชคดีที่ Hyperion สามารถใช้เอ็กเซลแสดงผลได้ (Hyperion Retrieve)

ผมจึงใช้เวลาปรับตัวกับมันไม่นาน และมันก็กลายมาเป็น จุดแข็ง ของผมในเวลาต่อมา

.

เมื่อผมสามารถเรียนรูปและปรับตัวกับธุรกิจได้

ผมสามารถแสดงความเห็น หรือชี้ประเด็นบางอย่างลงไปในไฟล์เอ็กเซล และพาวเวอร์พอยต์ได้

ไม่ได้เป็นแค่ “คนเก่งเอ็กเซลคนหนึ่ง” อีกต่อไป

มีผลงานออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน

มีคนให้ความสำคัญกับความเห็นของผม

มี “ตัวตน” ในบริษัท และทุกคนรู้ว่าวันๆนึงผมทำอะไร

.

ที่เขียนมายืดยาว (มาก) อยากให้ลองมองว่า ถ้าไม่ฝึกฝนเอ็กเซล และพาวเวอร์พอยต์มาก่อน..

  • ผมก็จะเหมือนคนอื่นๆที่ออกแบบ Dashboard ของ Sales Force ไม่เป็น
  • ผมจะไม่สามารถทำงานสรุปและวิเคราะห์ข้อมูลที่แผนกบัญชีได้
  • ผมจะไม่สามารถปรับตัวกับ Hyperion ได้

เอ็กเซล กับ พาวเวอร์พอยต์ คือ 2 รากฐานสำคัญ ที่ทำให้ผ่านช่วงเวลายากลำบากนั้นมาได้

แต่ “รากฐาน” นั้นจะแข็งแรงได้ ต้องมาจาก “เมล็ดพันธุ์” ที่ชื่อว่า

วิเคราะห์ และ นำเสนอ

หากปราศจากการวิเคราะห์และนำเสนอแล้ว ผมคิดว่าสถานภาพของผมในบริษัทที่สาม คงไม่แตกต่างอะไรจากบริษัทที่สอง

แม้เจ้า Smart Art กับ Pivot Table จะเคยทำลายความมั่นใจของผม

แต่ทุกวันนี้มันคือเพื่อนสนิท

ผมเรียนรู้ที่จะใช้ ทำความคุ้นเคย และเปลี่ยนมันเป็นจุดแข็งอีกครั้ง

ผมเชื่อว่าในอนาคต จะมีโปรแกรมฉลาดๆออกมาอีกมากมาย

เทคนิคไม้ตายของเราในวันนี้ อาจกลายเป็นแค่ เทคนิคเบสิค ในวันพรุ่งนี้

เราต้องเรียนรู้ ปรับตัว และมีพื้นฐานที่พร้อมจะรับกับการเปลี่ยนแปลงเสมอ

สิ่งสำคัญคือ เราต้องเข้าใจธุรกิจเพื่อที่จะ “วิเคราะห์” ข้อมูลในรีพอร์ต ไม่ใช่ “บรรยาย” ตัวเลข และนำเสนอข้อมูลเป็น

สไลด์สวยๆ หรือกราฟไฮโซจะกลายเป็นสิ่งธรรมดา หากไม่มีการวิเคราะห์ประกอบ

การนำเสนอจะไร้ความหมาย ถ้าเอาแต่พูดตามสไลด์ โดยปราศจากความคิดเห็น

คนเก่งเอ็กเซล พาวเวอร์พอยต์ มีเยอะมากในตลาดงาน แต่คนที่ทำรีพอร์ตเก่งและวิเคราะห์เก่ง มีไม่เยอะ

ถ้าเราสามารถสรุปข้อมูล วิเคราะห์ และนำเสนอได้อย่างเฉียบขาด การหางานจะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป…

ปัญหาใหม่ที่ต้องเจอคือ อยากจะทำงานที่ไหนมากกว่า?

คุณชอบ “ปัญหา” แบบไหนครับ ^__^

.

หากคุณชอบบทความแนวนี้ สามารถอัพเดตบทความใหม่ๆโดยคลิก Like เฟสบุ๊คแฟนเพจ วิศวกรรีพอร์ต หรือคลิก ที่นี่

อย่าลืมแชร์ให้เพื่อนอ่านเพื่อเป็นกำลังใจให้คนเขียนด้วยนะครับ ^_^

วิศวกรรีพอร์ต

คนธรรมดาผู้มีประสบการณ์ทำงานหลากหลายตำแหน่ง คลุกคลีกับการทำรีพอร์ตมาโดยตลอด สุดท้ายค้นพบแนวทางของตัวเอง จึงอยากแบ่งปันเคล็ดลับและประสบการณ์ให้กับผู้สนใจ

2 thoughts on “บทเรียนอันแสนแพง ของความคิดที่ว่า “เก่ง Excel กับ PowerPoint ก็พอแล้ว”

Leave a Reply

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.