“เฮ้อ..อออ” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางห่อไหล่ลู่ลง
“พ่อเป็นอะไรคะ?” ลูกสาววัยหกขวบถามด้วยความเป็นห่วง
“พ่อเหนื่อยลูก”
“ทำไมพ่อถึงเหนื่อยล่ะคะ?”
“พ่อทำงานเหนื่อยลูก”
“พ่อแค่นั่ง แล้วพิมพ์ๆๆ ไม่เห็นเหนื่อยเลย“
“เออจริง !!” ผมพ่นพรืด แล้วปล่อยฮาก๊ากใหญ่
น่าคิดนะ แค่นั่ง แล้วพิมพ์ๆๆ ทำไมเหนื่อย?
ถ้าเทียบกับงานก่อสร้างรถไฟฟ้า ขายหมูปิ้งหน้าเซเว่น ผัดกระเพราที่ตลาด งานเหล่านี้เหนื่อยกว่าหลายสิบเท่า
ทำไมงานที่แค่นั่ง แล้วพิมพ์ๆๆ ถึงเหนื่อย?
ไม่ได้เหนื่อยกาย แต่เหนื่อยใจใช่ไหมครับ
เหนื่อยใจคืออะไร?
เหนื่อยใจคือ การเจอคนที่ไม่อยากเจอ
เหนื่อยใจคือ การต้องเข้าประชุมที่ไม่อยากเข้า
เหนื่อยใจคือ การทำงานที่ไม่อยากทำ
เหนื่อยใจคือ การเจอปัญหาที่คิดไม่ตก
เหนื่อยใจคือ การกังวลกับอนาคต
ใครทำให้เราเหนื่อยใจ?
คนที่เราไม่อยากเจอ …
ประชุมที่เราไม่อยากเข้า …
งานที่เราไม่อยากทำ ..
ปัญหาที่เราคิดวนเวียน ..
อนาคตที่เรากังวล ..
ใช่แล้ว
คนที่ทำให้เหนื่อยใจ ก็คือตัวเราเอง !!
เราใช้หมึกที่มองไม่เห็น กากบาทหน้าคนที่เหม็นขี้หน้า
เราคิดว่าประชุมที่กำลังจะเข้าน่าอึดอัด เพราะใช้การประชุมครั้งก่อนเป็นตัวตัดสิน
เราอิดออดว่าไม่อยากทำงานนี้ แต่สุดท้ายงานนั้นก็ต้องทำ
เราคิดวนเวียนกับปัญหา แต่ยังไม่ได้ลงมือแก้
เรากังวลกับพรุ่งนี้ แล้วใช้วันนี้ตอนนี้หมดไปกับการกังวล …
งานทุกงาน มีทั้งเหนื่อยกายและเหนื่อยใจ
งานสร้างรถไฟฟ้า ขายหมูปิ้ง ผัดกระเพรา เหมือนจะเหนื่อยกาย เพราะเจอแดด ลม ฝน
แต่เอาเข้าจริงก็เหนื่อยใจไม่แพ้กัน เจอเพื่อนร่วมงานเอาเปรียบ เจอลูกค้าเรื่องมาก เจอคนนิสัยเสีย
ทุกงานเหนื่อยหมด
จริงๆแล้วงานที่นั่ง แล้วพิมพ์ๆๆ ถ้าพูดว่าไม่เหนื่อย มันก็ไม่ถูกซะทีเดียว
เพราะเป็นงานที่ต้องใช้สมองเยอะ และสมองเป็นอวัยวะที่ใช้พลังงานมากที่สุด
ลองสังเกตตอนทำงานที่ต้องเค้นสมองแบบสุดๆ แค่หนึ่งชั่วโมงก็สายตัวแทบขาด
แต่ถ้าเราซื่อสัตย์กับตัวเองแบบ 100%
ตลอดชั่วโมงการทำงานทั้งวัน เราไม่ได้เค้นสมองเต็มที่ตลอดเวลาหรอก
มันมีบางงานที่ไม่ต้องใช้สมองเยอะก็ทำได้
เราก็เลือกเอางานนั้นมาสลับ เพราะทำงานที่ต้องเค้นสมองตลอดเวลาไม่ไหว
หรือบางครั้ง ก็เลือกทำงานนั้นก่อน เพราะงานที่ต้องเค้นสมองมันเหนื่อยนี่นา ไปๆมาๆไม่ได้ทำงานที่ต้องใช้สมองเลย (ผมคนนึงล่ะ ประจำ ^^)
จริงๆแล้วลูกสาวผมเค้าก็น่าจะเหนื่อยนะ
ด้วยสถานการณ์โควิดตอนนี้ เค้าไปโรงเรียนไม่ได้ จึงต้องเรียนออนไลน์แทน
เวลาที่เรียนออนไลน์คือ 7:30 – 15:15 คือเรียนเหมือนไปโรงเรียนปกติเลย แต่เรียนผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์แทน
ตอนที่ผมกำลังเขียนบทความนี้ เค้าก็นั่งเรียนออนไลน์อยู่ข้างๆผมนี่แหละ
บางวันมีเรียนบัลเลต์ ก็เรียนต่อช่วงสี่ถึงห้าโมงเย็น (เรียนออนไลน์เช่นกัน) ประมาณว่าเรียนของโรงเรียนเสร็จ กินนมกินขนมแป๊ปนึง เปลี่ยนชุด แล้วเรียนบัลเลต์ต่อเลย
บางวันเรียนบัลเลต์เสร็จ ก็ซ้อมเปียโนต่อด้วย
ซ้อมเปียโนเสร็จก็ทำการบ้าน และแน่นอนว่าไม่ได้มีแค่วิชาเดียว เค้าก็นั่งทำไปเรื่อยๆ ถ้าทำไม่ได้ก็ถามพ่อ (บางทีพ่อก็ตอบไม่ได้ ^^)
บางวันก็ช่วยแม่ทำกับข้าว วันที่ไม่มีเรียนบัลเลต์ก็ชวนแม่ทำวุ้น ทำไอติม ทำพุดดิ้ง
แล้วต้องดูการ์ตูนด้วยนะ ผมให้เค้าดูวันละ 3 เรื่อง คุณเธอก็ใช้สิทธิ์เต็มแม็กตลอด (บางวันมีดูเกินแล้วทำเนียน ^^)
ตอนกลางคืนก็เล่นกับน้อง บางทีก็ชวนพ่อแม่น้องเล่นซ่อนแอบ พอหาเจอก็หัวเราะเอิ๊กอ๊าก
มืดหน่อยก็นอน ตอนเช้าตื่นมาอาบน้ำกินข้าว แล้วก็เรียนออนไลน์ต่อ
ทั้งหมดนี่คือเด็กหญิงวัยหกขวบ
แต่เค้าไม่เคยพูดว่าเหนื่อยเลย
เค้าไม่เหนื่อย
หรือเค้าไม่บ่น
น่าคิด …
ป.ล. ผมเขียนบทความนี้เพื่อเตือนตัวเองครับ ^__^
ขอบคุณค่ะ สำหรับบทความนี้ อ่านแล้วยิ้ม พร้อมกับคำพูดในใจ ” เออว่ะ “